ตามการประเมินของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TTB Analytics ในครึ่งหลังของปี 2566 สังเกตได้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวลงโดยมีแรงกดดันจากราคาและอัตราดอกเบี้ยสูง อย่างไรก็ตามสภาพการตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวอยู่ และส่งผลให้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ขยายตัวได้ ยกเว้นบางประเทศที่เกิดเปราะบางในการจ้างงานและอาจมีการถดถอยเชิงเทคนิคเกิดขึ้น การลดลงของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ชะลอลงไปยังระดับสูง ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดลดลง
ในช่วงต้นปี 2566 เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวลง แม้ว่าอัตราเพิ่มของธนาคารกลางส่วนใหญ่จะมีการปรับลงเพื่อเตรียมการต่อสู้กับเงินเฟ้อ การเปิดประเทศของจีนเริ่มเป็นความหวังที่อาจช่วยเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวมากขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด -19 แต่จนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจจีนยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ธนาคารโลกปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้ขึ้นมาเป็น 2.1% จาก 1.7% แต่ยังคงเป็นทิศทางชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ 3.1% โดยทั่วไปเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจขนาดใหญ่ส่วนมากยังคงมีความเสถียรภาพไม่ได้ทรุดตัวแรงตามที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยและเงินเฟ้อในระดับสูง สำหรับช่วงเวลาต่อไปในปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 2.4%
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TTB Analytics แบ่งประเทศต่าง ๆ ในโลกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรกเป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้อย่างช้าลง แต่ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวอยู่ ซึ่งประกอบด้วย
· เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้ว่าการส่งออกสินค้าและความต้องการสินค้าภายในประเทศจะลดลง แต่ตลาดแรงงานโดยรวมยังคงแข็งแกร่งและมีการเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ยังคงมีกำลังซื้ออยู่
· เศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจญี่ปุ่นรวมทั้งเศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศและภาคบริการ แต่การผลิตและการส่งออกสินค้าอาจมีแนวโน้มชะลอลงตามภาวะการค้าโลก การจ้างงานยังมีแนวโน้มปรับตัวที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
กลุ่มที่สองเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเปราะบาง ซึ่งประกอบด้วย
· เศรษฐกิจอังกฤษ กำลังประสบภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจชะงักงัน โดยมีความเปราะบางทั้งในด้านการส่งออกและการบริโภค รวมถึงอัตราการว่างงานที่สูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด -19
· เศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งปัจจุบันมีแรงส่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจชะงักงัน
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TTB Analytics เชื่อว่าการเติบโตที่ชะลอของเศรษฐกิจโลกในครึ่งหลังปี 2566 เป็นเพียงการถดถอยในระยะสั้นหรือเรียกว่าการถดถอยทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากความเปราะบางในตลาดแรงงาน อย่างเช่นฟินแลนด์และเดนมาร์ก นอกจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอแล้วยังมีการเพิ่มความเปราะบางในตลาดแรงงานขึ้นอีกด้วย จากทั้งหมดนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงผ่านการชะลอตัวในภาคการส่งออกสินค้า ซึ่งกระทบต่อระดับการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าที่มีคำสั่งซื้อจากยุโรป และผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปอาจมีทิศทางชะลอตัวได้เช่นกัน
ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 แม้ความต้องการสินค้าทั่วโลกจะลดลงจากแรงกดดันด้านราคาและดอกเบี้ยสูง แต่ภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ยังคงมีกำลังซื้ออยู่ อย่างไรก็ตามการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคและการเพิ่มแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบโลกอาจมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อโลก แต่ไม่ได้มีผลเสียต่อการผลิตสินค้าเท่าที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า