รายงาน "The economic potential of generative AI" ที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลกชื่อแมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี ได้วิเคราะห์ว่า generative AI สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากถึง 2.6 - 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 90 - 153 ล้านล้านบาทต่อปี) ซึ่งเทียบเคียงกับการมีประเทศสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นอีก 1 ประเทศ
การใช้งาน generative AI ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นได้ถึง 15 - 40% จากประมาณการครั้งก่อนหน้า เป็นผลมาจากองค์กรทั้งขนาดเล็กและใหญ่ที่นำ generative AI ไปใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ โดยรายงานยังพบว่า ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีอื่น ๆ ยังมีศักยภาพในการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการทำงานในปัจจุบัน ซึ่งใช้ลดเวลาการทำงานลงได้ 60 - 70% โดยใช้ AI ช่วยทำงานแทนพนักงาน
แม้ว่าการใช้ generative AI จะทำให้มีการเติบโตของผลิตภาพเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.2% ถึง 3.3% ต่อปี แต่การใช้ AI ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะตกงานเพราะถูกแทนที่ เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพนักงาน ทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น ซึ่งสามารถสร้างความเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจโลกได้
รายงานยังพบว่ามีงาน 4 ประเภทที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการใช้งาน generative AI คือ การให้บริการลูกค้า, การตลาดและการขาย, วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และการวิจัยและพัฒนา โดยมีโอกาสได้รับประโยชน์ราว 75% ของมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน generative AI
นอกจากนี้ การเข้าถึงและการนำ generative AI มาใช้งานที่องค์กรต่าง ๆ เป็นตัวผลักดันให้มีการใช้ระบบอัตโนมัติในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแมคคินซีย์คาดว่าครึ่งหนึ่งของกิจกรรมการทำงานในปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติในระหว่างปี 2573 - 2603 รวดเร็วกว่าการคาดการณ์เดิมประมาณ 10 ปี โดยรวมแล้ว แมคคินซีย์เห็นว่า generative AI เป็น "ตัวเร่งปฏิกิริยาด้านเทคโนโลยี" ที่ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมให้เข้าสู่การทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ และเพิ่มศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานได้เช่นกัน