ในช่วงแรกนั้น ตลาดน้ำมันได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญกับภาวะตึงตัว หลังจากซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และในเดือนสิ้นเดือนสิงหาคม รัสเซียประกาศว่าจะลดการส่งออกน้ำมันจำนวน 500,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งทั้งสองสถานการณ์นี้จะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลง 1.5%

 

แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบกลับแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก หลังจากรายงานว่าภาคการผลิตในหลายประเทศอ่อนแรงลง รวมถึงสหรัฐและจีน สำหรับสหรัฐฯ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตลดลงสู่ระดับ 46.3 ในเดือนมิถุนายน จาก 48.4 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการตัวชี้ว่าภาคการผลิตสหรัฐฯ อยู่ในสภาวะหดตัว และเป็นเดือนที่หดตัวติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2

 

ในทางกันต่อจากนี้ การสำรวจที่ทำโดยไฉซินและเอสแอนด์พี โกลบอลระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 50.5 ลดลงจาก 50.9 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างมาก

 

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเฟด (ธนาคารพันธมิตรของสหรัฐ) ที่อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25 - 5.50% ในการประชุมวันที่ 25 - 26 กรกฎาคม

 

เหตุการณ์และความกังวลทั้งหมดนี้ได้ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อมา ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ปริมาณการผลิตน้ำมันที่ลดลง หรือความกังวลในการปรับอัตราดอกเบี้ย ทำให้ตลาดน้ำมันคงควบคุมด้วยความไม่แน่นอนในช่วงนั้น

เข้าชม 26 แชร์ 0
เกาะติดประเด็นสำคัญกดติดตาม "ข่าวสเตชั่น"

เศรษฐกิจอื่นๆ