วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนเปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 25 บริษัทในตลาดทุนไทย เกี่ยวกับทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 โดยความคิดเห็นเกี่ยวกับสมมติฐานด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2566 ยังคงมีมุมมองว่าเป็นบวก โดยมองค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.83% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่เคยใช้สมมติฐานที่ 3.50% แต่อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยที่ 3.83% ยังคงถือเป็นตัวเลขที่ดูดีเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนนี้ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบของปีนี้ลดลงมาที่ 80.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลด้วย
โดยมีคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ยังคงอยู่ในรูปแบบการเคลื่อนไหวแบบ "sideway" และประเมินค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยสิ้นไตรมาสที่ 3 ที่ระดับ 1,563 จุด ซึ่งปัจจัยที่มีผลบวกต่อราคาหุ้นไทยมากที่สุดอันดับแรก คือเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีมุมมองว่ากำลังฟื้นตัวได้ดี มีเสียงมากถึง 72%
ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลลบต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดอันดับแรก คือเศรษฐกิจต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย มีเสียงมากถึง 80% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรจับตามองที่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาสที่ 3 ดังนี้:
1. การจัดตั้งรัฐบาลใหม่: มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนโยบายที่รัฐบาลใหม่นำเสนออาจกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
2. ทิศทางของดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด): การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของเฟดสามารถมีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยได้
3. ภาวะเศรษฐกิจโลก: สภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 ยังคงมีทิศทางการลงทุนแบบ "sideway" โดยนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในปีนี้อาจทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,601-1,650 จุด และจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,454 จุด อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนประเมินว่าดัชนีราคาหุ้นไทยณ สิ้นปี 2566 อาจอยู่ที่ 1,630 จุด ซึ่งลดลง 77 จุด จากระดับคาดการณ์ก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 1,707 จุด
นอกจากนี้ มีตัวแปรหลายอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเฟดและภาวะเศรษฐกิจโลก จึงเป็นสิ่งที่ควรติดตามและคำนึงถึงในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้