เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 สำนักข่าว Reuters รายงานว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% จนเป็นอัตรา 3.5% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 22 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นต่อเนื่องเพื่อสู้เงินเฟ้อ แม้ว่าเศรษฐกิจโซนยุโรปอาจกำลังลดลงอยู่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในโซนยุโรปเริ่มขึ้นช้ากว่าสหรัฐฯและประเทศอื่น ๆ จึงเป็นอุปสรรคให้กับ ECB ในการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
อัตราเงินเฟ้อในโซนยุโรปยังคงสูงอยู่ที่ 6.1% ซึ่งห่างจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2% ถึง 3 เท่า ซึ่ง ECB ไม่สามารถยอมรับได้ และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานก็เริ่มชะลอตัวลงเพียงเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า ECB จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะหยุดชั่วคราวในช่วงที่เหลือของปี
ประธาน ECB คริสตีน ลาการ์ด (Christine Lagarde) คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเดือนกันยายน และไม่เห็นด้วยกับคาดการณ์ของนักลงทุนในตลาดที่เดิมพันว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า ในทางกลับกัน นักเศรษฐศาสตร์จาก Deutsche Bank คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (terminal rate) จะสูงกว่า 3.75% และมีโอกาสที่ ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 น้อยลง