เมื่อวานนี้ (14 พ.ค.) มีการซื้อขายเกือบ 144 พันล้านบาท โดยที่ตลาดถึงจุดหนึ่งดำดิ่งลง 70 จุดในช่วงบ่าย ก่อนที่จะฟื้นตัวเป็นขาดทุน 23.72 จุด ปิดที่ 1548.13 จุด

2% เป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูง ดังนั้นตัวเลขจำนวนมากจึงจุดประกายความกลัวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องของตลาดลดลง เศรษฐกิจสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 4.2% จากปีที่แล้ว การปรับสมดุลออกจากระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะผลักดันแนวโน้มที่มีความเสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นลง ในขณะที่ผลักดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงานและน้ำมัน สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ในระยะสั้น แต่มีแนวโน้มที่จะส่งผลเชิงบวกในระยะยาว เนื่องจาก SET มีหุ้นกลุ่มพลังงานจำนวนมากที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของตลาด นักลงทุนระยะยาวในประเทศไทยบางรายกลัวมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและการคุมเข้มของตลาด เนื่องจากผลักดันนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในอดีตคิดเป็น 30% ของตลาดไทย แต่ตอนนี้ชาวต่างชาติมีสัดส่วนเพียง 20% ดังนั้นผลเสียน่าจะน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตามในช่วงเงินเฟ้อปกติ 1 ถึง 3% ตลาดหุ้นควรมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร 20 และผู้เชี่ยวชาญบางคนได้ปรับลดระดับเป็น 18 ในขณะนี้

แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลง แต่ก็ยังมีข่าวดีหลงเหลืออยู่บ้าง เนื่องจากบริษัทไทยที่จดทะเบียนใน ตลท. คาดว่าจะทำกำไรทะลุ 2 แสนล้านบาทในสัปดาห์นี้ หลังจากรายงาน 180 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี โดยมี 55% ของตลาดบันทึกกำไร

เข้าชม 57 แชร์ 0
เกาะติดประเด็นสำคัญกดติดตาม "ข่าวสเตชั่น"

เศรษฐกิจอื่นๆ