ผู้เสียหายคือนางอุทัย อายุ 57 ปี ชาวบ้านที่บ้านผักตบ ตำบลผักตบ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ถูกรื้อบ้านที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงในที่ดินที่ซื้อจากลุงกับป้าแท้ ๆ อยากจะขอความเป็นธรรมและเห็นใจด้วย ต่อมานางอุทัยจึงพาผู้สื่อข่าวไปดูบ้านหลังเกิดเหตุ โดยพบว่า บ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่ริมถนนสายบ้านผักตบ-บ้านหนองบัว อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เมื่อไปถึงพบว่าในพื้นที่ดิน 2 งาน 17 ตารางวา พบบ้านถูกรื้อแต่เสาปูนจำนวน 18 ต้น และมีกองสังกะสีอยู่ข้างรั้วและฝ้าเพดานกองอยู่หน้าบ้านโดยป้าอุทัยและลูกสาวที่เดินทางดูบ้านได้แต่เศร้าใจไม่คิดว่าลุงและป้าแท้ๆ จะทำกันได้ถึงเพียงนี้และไม่อนุญาติให้เข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยผ้าเปิดเผยว่า ตนเองแต่งงานกับนายบุญเลิศ สิงห์สาธร จนมีลูกด้วยกัน 3 คนแล้วสามีก็พาซื้อที่ดินจำนวน 2 งาน 17 ตารางวาจากลุงเปี๊ยกและป้าพรหม ซึ่งป้าพรหมเป็นพี่สาวแท้ๆ ของสามี โดยตกลงซื้อขายที่ดินกันในราคา 20,000 บาท เมื่อปี 2544 แต่ไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายไว้ เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งป้าพรหมเป็นพี่สาวแท้ๆ ของสามีตนเองและคิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไรตามมา พอซื้อที่ไว้แล้วสามีซึ่งแต่ก่อนเคยไปทำงานเมืองนอกแต่ขาดทุน จึงพาไปเข็นข้าวโพดขายในกรุงเทพฯทั้งครอบครัวโดยเอาลูกไปอยู่ด้วย ระหว่างนั้นเราก็ส่งเงินมาให้ลุงกับป้าทีละนิดทีละหน่อยเพื่อสร้างบ้านให้ในผืนดินที่ซื้อเอาไว้ข้างๆ บ้านของลุงเปี๊ยกกับป้าพรหม รวมแล้วหมดประมาณ 200,000 กว่าบาท แต่พอมากลางปี 2556 นายบุญเลิศสามีได้เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว พวกตนเองก็เอาศพมาจัดงานที่บ้านหลังนี้ จากนั้นตนเองและลูกๆ ก็พากันไปทำงานที่กรุงเทพฯต่อ กลางเดือนพ.ค.64 ปีที่แล้วกลับมางานศพย่าก็มานอนที่บ้านและบ้านยังไม่ถูกรื้อ แต่ล่าสุดกลับมาบ้านวันที่ 25 ม.ค.65 ที่ผ่านมาเห็นบ้านถูกรื้อเหลือแต่เสาจนเข่าแทบทรุด สอบถามป้าพรหมบอกว่าเป็นคนรื้อเอง ตนเองจึงถามว่ารื้อทำไมในเมื่อที่ตรงนี้ซื้อแล้ว พี่สาวสามีก็บอกว่าที่ดินตรงนี้ไม่ได้ซื้อแล้วเพราะไม่มีสัญญาซื้อขายอะไรมายืนยัน
ตอนนี้ เสียใจมากที่พี่สาวของสามีมาทำแบบนี้มารื้อบ้านที่ครอบครัวตนเองส่งเงินมาให้สร้างแล้วมารื้อ ตั้งใจว่าอายุครบ 60 ปีจะเกษียณเลิกขายข้าวโพดมาอยู่บ้านตามประสาผู้สูงอายุกับลูกๆ แต่ลุงและป้าดันมารื้อบ้านทิ้งและไม่ได้บอกกล่าวอะไรเลยและบอกว่าเรื่องการซื้อขายไม่มีแล้ว และป้าพรหมบอกอีกว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นโฉนดและมีชื่อของลุงเปี้ยกซึ่งเป็นสามีและบอกว่าไม่ให้ใครทั้งนั้น เหตุเพราะความไว้ใจญาติพี่น้องแท้ๆ ลุงกับป้าไม่น่ามาทำแบบนี้ ตอนนี้ไม่มีแม้ที่อยู่ตนและลูกต้องไปอาศัยพี่สาวอยู่ที่อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร อยากถามป้าว่า ไม่ต้องห่วงน้องสะใภ้คนนี้แต่ทำไมไม่คิดถึงหลานๆ ทั้ง 3 คนเลยหรือเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของป้า ทำไมป้าใจร้ายแบบนี้ ตอนนี้ตนเองได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่สภ.หนองหาน ป้าอุทัยพูดไปร้องไห้ไป อยากขอความเป็นธรรมด้วย ขณะที่ “น้องหญิง” น.ส.สุดารัตน์ ลูกสาว เปิดเผยว่า เสียใจมากที่ลุงและป้ามารื้อบ้านพวกหนูทิ้งโดยไม่บอกกล่าว บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว พ่อและแม่เก็บเงินแล้วมาซื้อในที่ดินของป้าแท้ๆ และก็ส่งเงินมาให้ลุงเปี้ยกเป็นคนสร้างบ้านให้เพราะลุงเปี้ยกเป็นช่าง และก็ว่างๆ แวะมาดู ตอนงานศพงานพ่อป้าก็บอกหลานๆ ว่าให้อยู่นี่หละ พูดต่อหน้าศพพ่อเอ็งให้พวกเอ็งอยู่นี่ แต่มาล่าสุดป้ากับเปลี่ยนใจบอกไม่ให้พวกเอ็งอยู่ให้ไปหาที่อยู่ที่ใหม่ได้เลย หนูอยากขอความเป็นธรรมและอยากปรึกษาทนายว่าพวกหนูต้องทำอย่างไรดี สัจจะไม่มีในหมู่ญาติพี่น้องจริง ๆ
ขณะที่ผู้สื่อข่าวติดต่อขอสัมภาษณ์ลุงเปี๊ยกเจ้าของที่ดินแต่ไม่อนุญาตให้สัมภาษณ์แต่เปิดเผยทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า ตนไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ผมรอทนายพรุ่งนี้และทนายบอกมาไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาโดยเด็ดขาด โดยลุงเปี้ยกบอกว่าที่ดังกล่าวเป็นที่ตนเอง เป็นโฉนดในชื่อของตนเอง ผู้สื่อข่าวถามว่า พอจะอะลุ่มอล่วยให้ลูกหลานได้ไหม ลุงเปี้ยกบอกว่า คงไม่ได้เพราะที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินตนเอง ส่วนเรื่องซื้อที่ดินจำนวน 20,000 บาทตนเองไม่รู้เรื่อง ตนเองและภรรยาเห็นว่าน้องเมียไม่มีที่อยู่ตนเองจึงให้มาอยู่ก็เท่านั้น ส่วนการรื้อบ้านหลังนี้ผมรื้อเองเพราะปลวกกินและกลัวเป็นอันตรายต่อลูกๆ หลานๆ ที่มาเล่นบ้าน ให้เอาที่ดินตรงนี้ให้ภรรยานายบุญเลิศ ซึ่งเป็นน้องเมียคงเป็นไปไม่ได้ 7-8 ปีเขาไม่เคยมาดูแลบ้านหลังนี้เลย ลุงเปี้ยกกล่าวทิ้งท้าย