เกษตรกรผู้ปลูกมะลิในอำเภอบ้านโป่งกำลังเผชิญกับปัญหาโรคเชื้อราในดอกมะลิที่ เกิดจากฝนซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรครากเน่า-โคนเน่า ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น รวมถึงต้องใช้ค่าปุ๋ยและยาเคมีในการพ่นเพื่อป้องกันไม้ดอกและดอกเสียหาย แต่ราคาขายมะลิยังคงอยู่ที่ 200 บาทต่อกิโลกรัม ผู้ปลูกมะลิอ้อนวอนรัฐบาลให้ใส่ความสำคัญในการดูแลราคาปุ๋ยและยาเพื่อให้ลดลง

 

นักข่าวได้เดินทางไปพบกับนางอุไร สันทองอายุ 55 ปี เกษตรกรผู้ปลูกมะลิในตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาโรคเชื้อราในดอกมะลิ เนื่องจากสภาพอากาศที่มีความร้อนและชื้นสลับกัน หลังจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ

 

นางอุไรเปิดเผยว่าตัวเองมีอาชีพนี้มาเกือบ 20 ปี และเพาะปลูกมะลิบนพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา ในแต่ละวันจะเก็บดอกมะลิได้ประมาณ 5-7 กิโลกรัม และจำหน่ายให้กับร้านค้าดอกไม้กำ โดยราคาที่ร้านค้าซื้ออยู่ที่ 200-500 บาทต่อกิโลกรัม แต่หลังจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2566 นับถือว่าในช่วงนี้น้ำฝนช่วยให้ต้นมะลิออกดอกมากกว่าในช่วงฤดูร้อน แต่ในระยะยาว ปริมาณผลผลิตจะค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากต้นมะลิต้องเผชิญกับโรคเชื้อราที่เกิดในดอก ซึ่งจะแสดงอาการดอกมีขีดสีน้ำตาล สีม่วง รวมถึงโรครากเน่า-โคนเน่าที่ทำให้ต้นมะลิเหลือง เหี่ยว และทิ้งใบ นอกจากนี้ยังมีศัตรูพืชอีกด้วย เช่น หนอนกินใบที่อาจกระจายแพร่และเป็นโรคระบาดในแปลงได้อย่างง่ายดาย

 

นางอุไรเป็นตัวอย่างเกษตรกรที่คงทนและมีความมุ่งมั่นในการเลี้ยงดูมะลิมาเป็นเวลานาน แม้จะพบเจอปัญหาต่าง ๆ แต่เธอก็พยายามทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมของแต่ละฤดูกาล นอกจากนี้เธอยังสอนและแบ่งปันความรู้แก่เกษตรกรผู้อื่นเพื่อให้ทุกคนสามารถรับมือกับปัญหาและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ในขณะเดียวกัน นางอุไรก็ให้คำขอและร้องเรียนให้กับรัฐบาลให้ดูแลและสนับสนุนเกษตรกรในด้านราคาปุ๋ยและยาเพื่อลดต้นทุนในการป้องกันและรักษาโรคในมะลิ นางอุไรเป็นเสียงของเกษตรกรทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเกษตรอย่างยากลำบาก ซึ่งความรับรู้และการเข้าถึงทรัพยากรที่เหมาะสมจากภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศไทย

เข้าชม 4 แชร์ 0
เกาะติดประเด็นสำคัญกดติดตาม "ข่าวสเตชั่น"

สังคมอื่นๆ