สำหรับครึ่งหลังของปี 2566 บริษัทบัตรกรุงไทย (KTC) ได้กล่าวว่า อุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของคนไทยกำลังขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเนื่องจากความต้องการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 สัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตของ KTC เทียบกับอุตสาหกรรมทั้งหมดอยู่ที่ 14.9% และส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ KTC อยู่ที่ 12.2% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยในเวลานี้สัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคลของ KTC โดยไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เท่ากับ 6.2%
เมื่อพิจารณาด้านครึ่งหลังของปี 2566 บริษัท KTC ได้มีแผนการเพิ่มลูกค้าใหม่ในโครงการ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มลูกหนี้ใหม่แบบทวีคูณ การเติบโตของพอร์ตบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัท KTC มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกและไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 3,678 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.0%) และ 1,806 ล้านบาท (ลดลง 4.6%) ตามลำดับ และงบการเงินเฉพาะกิจการของ KTC มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกและไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 3,648 ล้านบาท และ 1,805 ล้านบาท ตามลำดับ
จากผลการดำเนินงานเชิงบริหารของ KTC ในช่วงครึ่งปีแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 สามารถสรุปได้ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยงบการเงินรวมมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกและไตรมาส 2/2566 เพิ่มขึ้นไปถึง 3,678 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.0%) และ 1,806 ล้านบาท (ลดลง 4.6%) ตามลำดับ ส่วนงบการเงินเฉพาะกิจการมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกและไตรมาส 2/2566 มีมูลค่า 3,648 ล้านบาท และ 1,805 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้ฐานสมาชิกรวมทั้งหมดมีจำนวน 3,358,994 บัญชี และยอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวมกันถึง 105,589 ล้านบาท โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ (NPL) อยู่ที่ 2.0% ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรในช่วงที่กำหนดไว้คือ 7,079 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อรวม 15% และปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 10% และพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเติบโต 7%
สรุปคือ KTC มีแนวโน้มที่ดีในการเติบโตในสายธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค โดยคาดว่าโครงการ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งตามที่วางเป้าหมาย และ NPL อยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลเนื่องจากบริษัทสามารถบริหารจัดการได้ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำกำไรตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 อยู่ที่มากกว่า 7,079 ล้านบาท
อัลบั้มภาพ
