แม่วัย 56 ปี จูงมือลูกสาววัย 17 ปี เข้าแจ้งความบนสถานีตำรวจ หลังถูกนายเอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกัน กระทำชำเราจนลูกสาวตั้งครรภ์
ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเอบอกจะรับผิดชอบเด็ก ทำให้ลูกสาวเก็บเด็กไว้ จนขณะนี้9 เดือนแล้ว และมีกำหนดคลอดในวันที่ 1 เมษายนนี้ นายเอได้บล็อกโทรศัพท์ลูกสาวและหลบหน้าหนีหายไป
ทั้งนี้ ตนเองก็ไม่มีงานทำ อาศัยอยู่กับลูกสาว มีหลานที่ต้องเลี้ยงอีก 2 ตน โดยมีลูกสาวคนโตเป็นผู้รับผิดชอบในครอบครัว ส่วนคนเล็กก็อยากให้เรียนต่อจนจบ จึงอยากให้พ่อเด็กมารับผิดชอบ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ติดต่อ นายเอ (นามสมมุติ) แต่นายเอพยายามบ่ายเบี่ยงอ้างว่าถูกกักตัวเพราะติดโควิดบ้าง อยู่ จังหวัดนครศรีธรรมราช บ้าง โดยเจ้าหน้าที่ให้นายเอรีบเข้ามาให้ปากคำ และจะติดต่อพ่อแม่ของนายเอ เนื่องจากทั้ง 2 ยังเป็นเยาวชน
อย่างไรก็ตาม คุณแม่ยังกล่าวอีกว่า การมาแจ้งความในครั้งนี้ เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาพรากผู้เยาว์ กระทำมิดีมิร้าย ข่มขืน ซึ่งฝ่ายชายไม่ยอมรับเด็กโดยบอกว่าไม่ใช่ลูกของตน ซึ่งฝ่ายชายนั้นได้มารับลูกสาวของตนที่บ้านขณะที่ตนอยู่ 2 ครั้ง บอกจะออกไปหาอะไรกิน และตนอยากให้ฝ่ายชายมารับผิดชอบ และหากไม่รับผิดชอบก็จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย และในส่วนของเด็กนั้น ตนเองก็จะเลี้ยงดูเอง ซึ่งหากว่าผู้ชายจะดูแล ก็ขอให้ส่งเงินมาให้โดยจะเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของเด็ก เพราะตนเองก็ลำบากอยู่แล้ว
ทั้งนี้ เด็กสาว ผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า ตนกับนายเอ (นามสมมุติ) เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ช่วงเกิดเหตุตนอยู่ ม.5 ส่วนนายเออยู่ ม.4 เกิดปีเดียวกัน แต่อายุห่างกันประมาณ 5 เดือน นายเอย้ายไปเรียนมัธยมปลายที่ จ.กระบี่ โดยนายเอได้ทักมาทางแชทเฟซบุ๊ก จากนั้นก็คุยกันตลอด รู้จักกันได้ 5 เดือน วันเกิดเหตุนายเอได้มารับตนที่บ้านเพื่อไปหาอะไรกินกัน จากนั้นได้พาตนไปที่รีสอร์ต และได้ข่มขืนตนสู้แรงไม่ได้ จนกระทั่งเดือน ต.ค.64 ตนรู้ว่าตั้งครรภ์ จึงได้บอกนายเอไป ตอนแรกนายเอไม่ยอมรับ แต่ต่อมาบอกว่าให้เก็บเด็กไว้ เพราะนายเอจะรับผิดชอบเอง แต่เรื่องนี้ไม่อยากให้แม่รู้ เพราะแม่เป็นครู กระทั่งเดือน ม.ค. 65 ตนได้คุยกับนายเอเรื่องนี้ เพราะตนอยากเรียนต่อให้จบ ม.6 อยากให้มารับผิดชอบเรื่องลูก เพราะตนยังเรียนหนังสือไม่มีรายได้ แม่ก็ไม่มีรายได้ รายได้ในบ้าน 5 คน มีพี่สาวคนเดียวที่ดูแล หากนายเอไม่รับผิดชอบตนก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้มาคุยเรื่องลูก เพราะตนดูแลเองคงไม่ไหว และตนไม่เคยทราบเรื่องครอบครัวนายเอและไม่เคยไปที่บ้าน ทราบเพียงแต่แม่เป็นครู พ่อเป็นตำรวจที่ จ.สงขลา เมื่อนายเอพยายามบ่ายเบี่ยง ติดต่อไม่ได้แม่จึงพามาแจ้งความ ตนไม่เคยมีอะไรกับคนอื่น เด็กในท้องเป็นลูกของนายเอ หากนายเอไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นลูกจริง ตนก็พร้อมให้ตรวจดีเอ็นเอ ไม่ต้องมารับผิดชอบตน เพียงแค่รับผิดชอบลูกเท่านั้น เพราะตนสงสารแม่