เรื่องนี้ เกิดขึ้นที่บ้านเช่า พื้นที่ อำเภอโพธาราม เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ในกลุ่มเฟซบุ๊ก ชื่อ ณ โพข้อความพร้อมภาพใจความว่า “ฝากถึงคนมีบ้านให้เช่านะคะ เวลาจะให้ใครเช่าบ้านต้องเช็คประวัติให้ดี สัญญาเช่าต้องมี ขอสำเนาเอกสารให้ ครบ...เจอมากับตัวเอง ตอนแรก ๆ ก็จ่ายค่าเช่า ต่อมาก็ขอผลัดค่าเช่าไปเรื่อยๆ สุดท้ายคือไม่จ่าย ค่าไฟฟ้าไม่ จ่ายโดน ตัดไฟ...แจ้งศูนย์ดำรงธรรมเพื่อนัดไกล่เกลี่ยไม่ยอมมา...นัดขึ้นศาลไม่ยอมไป ศาลตัดสินให้ย้ายออกจากบ้านเช่า ไม่ยอม ออก...กรมบังคับคดีต้องมาถึงบ้านเช่า นำเอกสารมาให้เซ็นต์รับทราบถึงยอมออก กว่าเรื่องจะจบใช้เวลามากกว่า 2 ปี จ่ายเงินดำเนินการเยอะ...แล้วนี่คือสภาพบ้านเพียงส่วนหนึ่ง ไม่รู้อยู่ได้อย่างไง เคยเห็นแต่ในข่าวไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัวเอง...#ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย #คนแย่ๆ ที่ไม่อยากให้อยู่ในโพธาราม #เดี๋ยวก็คงไปทำแบบนี้กับที่บ้านเช่าที่ใหม่ #ได้ข่าวว่าตอนนี้ย้ายไปอยู่บ้านเช่า อีกฝั่ง ของแม่น้ำ #จากบ้านที่น่าอยู่ กลายเป็นกองขยะ”
หลังจากที่โพสต์นี้ถูกแชร์ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก คุณชมนาด เจ้าของบ้าน ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าไปดูในตัวบ้าน ปรากฏว่าเมื่อไขกุญแจเปิดประตูห้องเข้าไป ก็พบ กองขยะ เสื้อผ้า ที่นอน หมอน แถมยังมีถุงพลาสติก ขวดน้ำดื่มจำนวนมาก มีเศษดิน ทิ้งไว้กระจายเกลื่อนห้อง ในห้องน้ำก็ไม่น้อยหน้า มีสิ่งของเครื่องใช้ ที่หมดสภาพแล้วถูกทิ้งไว้เต็มห้อง แถมพวกเฟอร์นิเจอร์ อ่างล้างหน้า ก๊อกน้ำทองเหลือง พัดลมเพดาน ถูกถอดหายไปจนเกลี้ยง และ พบเข็มฉีดยาที่ถูกใช้แล้ววางไว้ตามจุดต่าง ๆ ทั้งที่พื้น ใต้บันได ผนังบ้านจำนวนมาก ส่วนไฟฟ้าถูกทางการ ไฟฟ้าส่วน ภูมิภาคมาตัดและยกหม้อไป รวมไปถึงน้ำประปาด้วย
โดย เธอให้ข้อมูลว่า ประมาณเมื่อ 7 ปีก่อน ได้มีผู้เช่า เป็น 2 สามีภรรยา ผู้ชายอายุประมาณ 38 ปี และ หญิงอายุประมาณ 23 ปี มีอาชีพค้าขายตามตลาดนัด และ ทำงานในแผนกส่งของที่บริษัทแห่งหนึ่งในอำเภอโพธาราม มาขอเช่าอยู่ ตอนแรก ๆ ก็จ่ายค่าเช่าดี จนเข้าสู่ปีที่ 3 เริ่มผลัดค่าเช่าไปเรื่อยๆ สุดท้ายคือไม่จ่าย ตนก็พยายามมาแจ้งให้ออกแต่ทั้ง 2 คนก็ไม่ยอมออก และได้ไปร้องทางศูนย์ดำรงธรรมเพื่อนัดไกล่เกลี่ย ทั้ง 2 คนก็ไม่ยอมมา
จากนั้นตนจึงได้ไปฟ้องร้องต่อศาลที่ราชบุรี ศาลได้นัดทั้ง 2 คนมาขึ้นศาลก็ไม่ยอมไป ศาลตัดสินให้ย้ายออกจาก บ้านเช่าแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมออก ดื้อแพ่งอย่างเดียว ตนจึงได้ไปร้องกรมบังคับคดี โดยเจ้าหน้าที่เดินทางถึงบ้านเช่าที่ทั้ง 2 คนอยู่และนำเอกสารมาให้เซ็นรับทราบ ทั้ง 2 คนจึงยอมออกจากบ้านดังกล่าว โดยตนต้องเสียเวลานานรวม 4 ปีจึงจะให้ทั้ง 2 คนออกจากบ้านได้
ทั้งนี้ ทีมข่าวได้ลองไปพูดคุยกับเพื่อนบ้าน เล่าให้ฟังว่า ตนก็ไม่ค่อยทราบความเป็นอยู่ของทั้ง 2 คนเท่าไหร่ แต่เราเป็น เพื่อนบ้านกันก็มีอะไรก็แบ่งปันกันไป ทำอาหารก็จะตักแบ่งให้ไปทาน ก็เห็นเขาเป็นคนดี ไม่น่าจะมีอะไร หรือเราไม่ค่อย ได้ยุ่งเรื่องส่วนตัวกับเขา หลังๆ เขามีลูกก็พาเขาไปคลอดลูก เป็นลูกสาว ก็ใช้ชีวิตอยู่กัน 3 คน จากเดิมที่อยู่กัน 2 คน และหลัง ๆ มีพ่อมาอยู่ด้วย เรื่องไฟถูกตัด ผู้ใหญ่ก็ใจดีให้เขาต่อไป เราก็รู้อยู่ประมาณนี้ อีกอย่างเราก็ไม่เคยเข้าไปดูในบ้านเขา